วิธีการง่ายสุดๆ และได้ผลสุดๆในการเลือกเนอสเซอรี่ก็คือ ถามจากผู้ปกครองคนอื่นที่เคยส่งลูกหลานไปเรียนที่เนอสเซอรี่นั้นๆมาแล้ว เพราะจะได้คำตอบที่ชัดเจน แถมอาจจะมีคำอธิบายและข้อคิดเห็นเพิ่มเติมอีกต่างหาก
แต่อย่างไรก็ตาม พ่อแม่แต่ละคนต่างก็มีบรรทัดฐานไม่เท่ากัน และนอกจากการสอบถามจากผู้อื่นแล้ว เราเองก็ต้องพิจารณาถึงส่วนประกอบอื่นๆด้วย เช่น
สถานที่ตั้ง ทุกวันนี้การเดินทางกลายเป็นประเด็นหลักๆ ในการตัดสินในหลายๆเรื่อง การเลือกเนอสเซอรี่ที่มีที่ตั้งอยู่ใกล้กับบ้าน หรือที่ทำงานย่อมจะเป็นประโยชน์ การไปรับไปส่งก็จะสะดวกขึ้น และลูกเราก็จะไม่ต้องเหนื่อยกับการเดินทาง (น้องบางคนยังเล็กๆน่าสงสารมากค่ะ) สำหรับสถานที่ตั้ง ต้องดูด้วยว่า อยู่ใกล้กับแห่ลงชุมชนแบบไหน ใกล้ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ มีกลิ่น มีสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีรึเปล่า มีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน อีกอย่างสมัยนี้ภัยจากผู้คนก็มีมากนะคะ ถ้าสถานรับเลี้ยงเด็กไปอยู่ในแหล่งชุมชนที่ไม่เหมาะสมคงไม่ดีแน
ความสะอาดในโรงเรียน เวลาที่เราจะเลือกเนอสเซอรี่ให้ลูกๆของเรา ต้องเข้าไปเดินชมให้ทั่วๆนะคะ ดูห้องเรียน ห้องอาหาร ห้องน้ำ บริเวณสวน และสนามเด็กเล่น เดินดูให้รอบๆ บางที่อาจจะดูสะอาด มีอนามัย แต่กลับมีสภาพแวดล้อมที่เสี่ยง เช่น สนามเด็กเล่นเก่า ดูไม่แข็งแรง เป็นต้น

หลักสูตรการเีรียนและกิจกรรมของโรงเรียน แม่ปันปรายเคยอ่านหนังสือ อ่านอินเตอร์เนตมาเยอะเหมือนกันค่ะ หลายคนว่า ช่วงเด็กก่อนวัยเรียน ไม่ต้องให้มีการเร่งรัดมาก ให้ทำกิจกรรมนิดหน่อยก็เพียงพอ โดยส่วนตัวแล้ว แม่ปันปรายว่า สำหรับช่วงเด็กเล็ก (ก่อนอนุบาลชั้น1) การไปเนอสเซอรี่ เหมือนเป็นการเตรียมของความพร้อมของเด็ก เน้นให้รู้จักเพื่อน ให้อภัย การอยู่ร่วมกันกับคนอื่น ส่วนโรงเรียนจะมีการสอนเสริม ใช่ให้รู้จัก ก - ฮ หรือ นับเลข ร้องเพลง ก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกันค่ะ ดังนั้น ก่อนนำลูกเข้าเนอสเซอรี่ก็ต้องไปพูดคุยกับครูผู้สอนด้วยจ้ะ

การให้ความช่วยเหลือ เช่น กรณีที่ลูกเราเป็นเด็กที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ เช่นน้องมีอาการแพ้ไข่ แพ้นมวัว ดังนั้นอาหารต้องไม่มีไข่ หรือห้ามทานนมวัว ทางโรงเรียให้การดูแลได้หรือไม่ หรือทางเราต้องห่อข้าวไป แล้วช่วยกันดูแลต่อไปเป็นต้น

เรื่องอื่นๆเช่น บางโรงเรียนลูกของเพื่อนที่ทำงานเค้าว่า เนอสเซอรี่ที่ลูกเค้าไป มีกล้องวงจรปิดด้วย คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงลูก ก็สามารถเข้าเวปไซด์ของทางโรงเรียน เพื่อเข้าไปดูลูกได้เลย ได้ฟังแบบนั้น แม่ปันปรายว่า เราพ่อแม่ก็จะรู้สึกอุ่นใจในระดับหนึ่งเลยค่ะ
โรคมือเท้าปากเปื่อย Hand foot mouth syndrome

เป็นโรคทมักพบการติดเชื้อในกลุ่มทารกและเด็กเล็ก แต่บางรายจะมีอาการรุนแรง ขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัสที่มีการติดเชื้อ
โรค HFMD ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุน้อยกว่า 10 ปี โดยเฉพาะอายุต่ำกว่า 5 ปี มีอาการไข้ร่วมกับตุ่มเล็กๆ เกิดขึ้นที่ผิวหนังบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และในปาก ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง หายได้เอง ส่วนน้อยอาจมีอาการทางสมองร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้รุนแรงถึงเสียชีวิตด้ ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุ 1-7 ปี ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ coxsackievirusA16 และ EV71 ผู้ป่วยจะมีไข้ฉับพลันและมีแผลเปื่อยเล็กๆ ในลำคอบริเวณเพดาน ลิ้นไก่ ทอนซิล มีอาการเจ็บคอมากร่วมกับมีน้ำลายมาก ยังไม่เคยมีรายงานการเสียชีวิต และอาจมีอาการกลืนลำบากปวดท้องและอาเจียน โรคจะเป็นอยู่ 3 - 6 วัน และมักจะหายเอง

โรคมือเท้าปากจะเกิดเชื้อไวรัสกลุ่ม Enterovirus genusซึ่งเชื้อโรคในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย polioviruses, coxsackieviruses, echoviruses, and enteroviruses.

สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Enteroviruses ที่พบเฉพาะในมนุษย์ ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ โรคปากเท้าเปื่อยส่วนใหญ่เกิดจาการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า coxsackie A16 มักไม่รุนแรง เด็กจะหายเป็นปกติภายใน 7-10 วัน ส่วนที่เกิดจากEnterovirus 71 อาจเป็นแบบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ Aseptic meningitis ที่ไม่รุนแรง หรือมีอาการคล้ายโปลิโอ ส่วนที่รุนแรงมากจนอาจเสียชีวิตจะเป็นแบบสมองอักเสบ encephalitis ซึ่งมีอาการอักเสบส่วนก้านสมองทำให้หมดสติ หากเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจะทำให้เกิดหัวใจวาย ความดันโลหิตจะต่ำ มีอาการหัวใจวาย และ/หรือมีภาวะน้ำท่วมปอด

อาการ

ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการป่วย หรืออาจพบอาการเพียงเล็กน้อย เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ปวดเมื่อย เป็นต้น จะปรากฏอาการดังกล่าว 3-5 วัน แล้วหายได้เอง สำหรับผู้ที่มีอาการมักจะเริ่มด้วยไข้ เบื่ออาหาร ครั่นเนื้อครั่นตัวเจ็บคอ หลังจากไข้ 1-2 วันจะเห็นแผลแดงเล็กๆที่ปากโดยเป็นตุ่มน้ำในระยะแรกและแตกเป็นแผล ตำแหน่งของแผลมักจะอยู่ที่เพดานปาก หลังจากนั้นอีก1-2 วันจะเกิดผื่นที่มือและเท้า แต่ก็อาจจะเกิดที่แขน และก้นได้ เด็กที่เจ็บปากมากอาจจะขาดน้ำ

ไข้ มีอาการไข้สูงอาจเกิน 39 องศาเซลเซียส 2 วันแล้วจะมีไข้ต่ำๆ ประมาณ 37.5 - 38.5 องศาเซลเซียส อีก 3-5 วัน
เจ็บคอเจ็บในปากกลืนน้ำลายไม่ได้ ไม่กินอาหาร
พบตุ่มแผลในปาก ส่วนใหญ่พบที่เพดานอ่อนลิ้น กระพุ้งแก้ม อาจมี 1 แผล หรือ 2-3 แผล ขนาด 4-8 มิลลิลิตร เป็นสาเหตุให้เด็กไม่ดูดนม ไม่กินอาหารเพราะเจ็บ ผื่นหรือแผลในปากจะเกิดหลังจากไข้ 1-2 วัน
ปวดศีรษะ
พบตุ่มพอง (vesicles) สีขาวขุ่นบนฐานรอบสีแดง ขนาด 3-7 มิลลิเมตร บริเวณด้านข้างของนิ้วมือ นิ้วเท้า บางครั้งพบที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส้นเท้า ส่วนมากมีจำนวน 5-6 ตุ่ม เวลากดจะเจ็บ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยแตกเป็นแผล จะหายไปได้เองในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์
เบื่ออาหาร
เด็กจะหงุดหงิด
ในเด็กโตจะบ่นปวดศีรษะ ปวดหลัง อาจมีอาเจียน เจ็บคอ น้ำลายไหล จากนั้นจะพบตุ่มพองใส ขนาด 1-2 มิลลิเมตร 2 ข้างของบริเวณเหนือต่อมทอนซิล (anteriar fauces) ซึ่งอาจแตกเป็นแผล หลังจากระยะ 2-3 วันแรก แผลจะใหญ่ขึ้นเป็น 3-4 มิลลิเมตร จะเห็นเป็นสีขาวเหลืองอยู่บนฐานสีแดงโดยรอบ ทำให้มีอาการเจ็บคอหรือกลืนลำบากเวลาดูดนมหรือกินอาหาร เด็กจะมีอาการน้ำลายไหล ส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 3-6 วัน ยังไม่เคยมีรายงานการเสียชีวิต
ระยะฝักตัว

หมายถึงระยะตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการใช้เวลาประมาณ 4-6 วัน

การติดต่อ

โรคนี้มักจะติดต่อในสัปดาห์แรก เชื้อนี้ติดต่อจาก

จากมือที่เปื้อนน้ำมูก น้ำลาย และอุจจาระของผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อ (ซึ่งอาจจะยังไม่มีอาการ) หรือน้ำในตุ่มพองหรือแผลของผู้ป่วย
และโดยการหายใจเอาเชื้อที่แพร่กระจายจากละอองฝอยของการไอ จาม ของผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อ ( droplet spread)
ระยะที่แพร่เชื้อ

ประมาณอาทิตย์แรกของการเจ็บป่วย เชื้อนั้นอาจจะอยู่ในร่างกายได้เป็นสัปดาห์หลังจากอาการดีขึ้้นแล้ว ซึ่งยังสามารถติดต่อสู่ผู้อื่นได้แม้ว่าจะหายแล้ว การแพร่เชื้อมักเกิดได้ง่ายในช่วงสัปดาห์แรกของการป่วย ซึ่งมีเชื้อออกมามาก เชื้อจะอยู่ในลำคอ ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ไวรัสเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุของคอหอยและลำไส้ เพิ่มจำนวนที่ทอนซิลและเนื้อเยื่อของระบบน้ำเหลืองบริเวณลำไส้ และเชื้อจะออกมากับอุจจาระ ยังไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่า การแพร่กระจายของโรคเกิดจากแมลง น้ำ อาหาร หรือขยะ

อ่านเรื่องการวินิจฉัยและการรักษา
อ่านต่อเรื่องคำนิยามโรคมือเท้าปาก
พบเด็กเสียชีวิตจากโรคมือเท้าปากจากเชื้อ enterovirus 71
กระทรวงสาธารณสุขยืนยันเด็กเสียชีวิตจากโรคมือเท้าปาก